วันอังคารที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2561

การจัดการงานอาชีพ

ความหมายของอาชีพ
                        อาชีพ  คือการทำมาหากินของมนุษย์  เป็นการแบ่งหน้าที่การทำงานของคนในสังคม  และทำให้ดำรงอาชีพในสังคมได้  บุคคลที่ประกอบอาชีพจะได้ค่าตอบแทน หรือรายได้ที่จะนำไปใช้จ่ายในการดำรงชีวิต  และสร้างมาตรฐานที่ดีให้แก่ครอบครัว ชุมชน และประเทศชาติ
Image result for การ์ตูนเคลื่อนไหวน่ารักๆ ดุ๊กดิ๊ก
                        ความจำเป็นของการประกอบอาชีพมีดังนี้
                        1.  เพื่อตนเอง การประกอบอาชีพทำให้มีรายได้มาจับจ่ายใช้สอยในชีวิต
                        2.  เพื่อครอบครัว ทำให้สมาชิกของครอบครัวได้รับการเลี้ยงดูทำให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
                        3.  เพื่อชุมชน ถ้าสมาชิกในชุมชนมีอาชีพและมีรายได้ดีจะส่งผลให้สมาชิกมีความเป็นอยู่ดีขึ้น อยู่ดีกินดี ส่งผลให้ชุมชนเข้มแข็งและพัฒนาตนเองได้
                        4.  เพื่อประเทศชาติ เพื่อประชากรของประเทศมีการประกอบอาชีพที่ดี มีรายได้ดี ทำให้มีรายได้ที่เสียภาษีให้กับรัฐบาลมีรายได้ไปใช้บริหารประเทศต่อไป
                        มนุษย์ไม่สามารถผลิตสิ่งต่างๆมาสนองความต้องการของตนเองได้ทุกอย่างจำต้องมีการแบ่งกันทำและเกิดความชำนาญ จึงทำให้เกิดการแบ่งงานและแบ่งอาชีพต่างๆขึ้น สาเหตุที่ต้องมีการแบ่งอาชีพมีดังนี้
                        1.  ความรู้ความสามารถของแต่ละคนแตกต่างกัน
Image result for การ์ตูนเคลื่อนไหวน่ารักๆ ดุ๊กดิ๊ก                        2.  ตำแหน่งทางภูมิศาสตร์และภูมิประเทศที่แตกต่างกัน
                        3.  ได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่ที่แตกต่างกัน

                        การแบ่งงานและอาชีพให้เกิดประโยชน์ ดังนี้
                        1.  สามารถตอบสนองความต้องการซึ่งกันและกันได้
                        2.  ได้ทำงานที่ตนเองถนัด
                        3.  ทำให้เกิดการขยายตัวของธุรกิจในด้านต่างๆ
การประกอบอาชีพของคนไทย
Image result for การ์ตูนเคลื่อนไหวน่ารักๆ ดุ๊กดิ๊ก                        การทำมาหากินของคนไทยสมัยก่อน คือการทำไร่  ทำนา  ทอผ้า  ทำเครื่องจักสานไว้ใช้ที่เหลือก็จะจำหน่ายในชุมชน คนไทยบางกลุ่มจะเป็นข้าราชการเมื่อบริษัทต่างชาติมาลงทุนในประเทศไทย ทำให้มีการจ้างงาน และมีอาชีพให้คนไทยเลือกทำมากขึ้น

ลักษณะอาชีพของคนไทย

Image result for การ์ตูนเคลื่อนไหวน่ารักๆ ดุ๊กดิ๊ก                        1.  งานเกษตรกรรม เช่น ปลูกพืช เลี้ยงสัตว์ การประมง
                        2.  งานอุตสาหกรรม เป็นงานที่เกี่ยวข้องกับความถนัดด้านช่างสาขาต่างๆ และเครื่องจักรเพื่อผลิตสินค้าและบริการต่างๆ
                        3.  งานธุรกิจ เป็นงานด้านการค้าขาย การทำบัญชี การจัดการธุรกิจ การติดต่อสื่อสารเทคโนโลยีสารสนเทศ
                        4.  งานคหกรรม เป็นงานที่เกี่ยวข้องกับการประกอบอาหาร เย็บปักถักร้อย ตกแต่งบ้าน
                        5.  งานศิลปกรรม เป็นงานที่มีความละเอียดอ่อน ความคิดสร้างสรรค์ด้านศิลปกรรมของไทย เช่น งานหัตถกรรม ประติมากรรม จิตรกรรม
ปัจจัยที่ส่งเสริมให้เกิดความสำเร็จในงานอาชีพ
            1.  ความต้องการมุ่งความสำเร็จ (Need for Achivement) 
             2.  มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ (Creativity  Thinking)
            3.  รู้จักผูกพันต่อเป้าหมาย (Addicted to Goals)
            4.  มีความสามารถในการบริหารงานและมีความเป็นผู้นำที่ดี (Management and Leadership Capability
Image result for การ์ตูนเคลื่อนไหวน่ารักๆ ดุ๊กดิ๊ก            5.  มีความเชื่อมั่นในตนเอง (Be Self Confident)
            6.  มีวิสัยทัศน์กว้างไกล (Visionary)
            7.  มีความรับผิดชอบ (Responsibility)
            8.  มีความกระตือรือร้นและไม่หยุดนิ่ง (Enthusiastic) 
            9.  ใฝ่หาความรู้เพิ่มเติม (Take New Knowledge) 
            10.  กล้าตัดสินใจและมีความมานะพยายาม (Can Make Decision And Be Attempt)
                        11.  สามารถปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อม (Adaptable)
            12.  รู้จักประมาณตนเอง (Self Assessment)   
            13.  ประหยัด (Safe For Future) 
            14.  มีความซื่อสัตย์ (Loyalty)  ต้องมีความซื่อสัตย์ต่อลูกค้าและหุ้นส่วน  ต้องสร้างความเชื่อมั่นให้กับธนาคารด้วยการเป็นลูกหนี้ที่ดี เป็นนายที่ดีของลูกน้อง และต้องมีความซื่อสัตย์ต่อตนเองและครอบครัว
อาชีพที่มีความมั่นคงในชีวิต

                        หากเปรียบเสาเข็มเป็นรากฐานของตึกสูง ความรู้ที่ได้รับจากการศึกษา ก็คือ พื้นฐานที่จะนำไปใช้ในการประกอบอาชีพ สร้างรายได้และจัดหาปัจจัย 4 อันเป็นสิ่งจำเป็นในการดำรงชีวิตอยู่อย่างมั่นคง ในการเลือกประกอบอาชีพนั้น ควรพิจารณาจากความถนัด ความสนใจ ความก้าวหน้าในอาชีพ เป็นอาชีพที่สุจริตถูกต้องตามกฎหมาย และควรเป็นงานที่ทำแล้วมีความสุข ได้รับค่าตอบแทนที่เพียงพอกับการดำเนินชีวิต และเลี้ยงครอบครัวได้อย่างเพียงพอ หากทุกคนเลือกอาชีพที่มีความมั่นคงต่อชีวิต สังคมก็จะมีความเป็นอยู่ที่ดี เศรษฐกิจก็จะเจริญก้าวหน้าตามไปด้วย

อาชีพที่มีส่วนร่วม และพัฒนาประเทศ
                         อาชีพที่มีส่วนร่วมพัฒนาประเทศ สามารถแบ่งออกเป็น 8 ประเภท  คือ
            1.  อาชีพเกษตรกรรม (Agriculture) เป็นอาชีพหลักของคนไทยมาเป็นเวลาช้านาน ได้แก่ การทำสวน การทำนา ทำไร่ การประมง การเลี้ยงสัตว์ และการป่าไม้
            2.  อาชีพเหมืองแร่ (Mineral) เกี่ยวข้องกับการดำเนินกิจกรรม การขุดเจาะนำเอาทรัพยากรธรรมชาติต่างๆมาใช้ เช่น ถ่านหิน  ดีบุก  น้ำมัน และปูนซีเมนต์ ฯลฯ
Image result for การ์ตูนเคลื่อนไหวน่ารักๆ ดุ๊กดิ๊ก             3.  อาชีพอุตสาหกรรม (Manufacturing) เป็นการดำเนินกิจกรรมทางด้านการผลิตและบริการทั่วๆไปทั้งอุตสาหกรรมขนาดย่อมและขนาดใหญ่ แบ่งได้ดังนี้
                        1.  อุตสาหกรรมในครัวเรือน หรือ อุตสาหกรรมขนาดย่อม  เป็นการดำเนินกิจกรรมที่ใช้แรงงานสมาชิกในครอบครัว วัสดุที่ใช้ผลิตหาได้ในท้องถิ่น ผลิตภัณฑ์จากภูมิปัญญาท้องถิ่น
            4.  อาชีพก่อสร้าง (Construction) เป็นการดำเนินกิจกรรมเกี่ยวกับการสร้างอาคาร ที่อยู่อาศัย ถนน สะพาน เขื่อน ฯลฯ
            5.  อาชีพการพาณิชย์ (Commercial) เป็นการดำเนินกิจกรรมเกี่ยวช้องกับการตลาด การจำหน่ายสินค้าปลีก และสินค้าส่ง
            6.  อาชีพการเงิน (Financial) การดำเนินกิจกรรมที่ส่งเสริมให้ธุรกิจต่างๆคล่องตัวมากยิ่งขึ้น ให้ความช่วยเหลือและการลงทุน  ได้แก่ ธนาคารต่างๆ
            7.  อาชีพบริการ (Services) เป็นการดำเนินกิจกรรมที่ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค ในการอำนวยความสะดวกสบาย เป็นการขนส่ง  การสื่อสาร  การโรงแรม  การท่องเที่ยว  โรงพยาบาล  โรงภาพยนตร์  ภัตตาคาร  ร้านอาหาร  สถานบันเทิงต่างๆ ฯลฯ
            8.  อาชีพอื่นๆ เป็นอาชีพที่นอกเหนือจากอาชีพดังกล่าวข้างต้น  ได้แก่ อาชีพอิสระต่างๆ เช่น แพทย์ ครู  เภสัช  วิศวกร  สถาปนิก  จิตรกร  ประติมากร  เป็นต้น

อาชีพธุรกิจที่มีประโยชน์ต่อประชาชน  สังคม และประเทศชาติ
            อาชีพธุรกิจที่เกิดประโยชน์ต่อประชาชน  สังคม  และประเทศชาติ  ทำให้เกิดกระบวนการผลิตสินค้าการบริการเพื่อสนองความต้องการของมนุษย์ความต้องการเกิดขึ้นต่อๆไป  โดยไม่สิ้นสุดทำให้เกิดการผลิตสินค้าเพื่อสนองความต้องการจึงเกิดการกระจายสินค้าไปสู่ผู้บริโภค เรียกว่าระบบคนกลาง  ระบบคนกลางได้แก่  พ่อค้าส่ง  พ่อค้าปลีก  ตัวแทนจำหน่าย  นายหน้า  เมื่อมีสินค้าเกี่ยวข้องจึงต้องมีระบบขนส่งและเกิดการจ้างงาน  ช่วยให้ประชาชนมีงานทำ  มีมาตรฐานการครองชีพที่ดีขึ้น  สร้างรายได้ให้กับรัฐ  โดยประชาชนช่วยกันเสียภาษีเพื่อพัฒนาประเทศ
            การที่ประชาชนมีอาชีพ และผลิตสินค้าที่มีคุณภาพจำนวนมากจึงต้องมีเครื่องมือที่ทันสมัยสามารถส่งไปจำหน่ายต่างประเทศได้ ช่วยให้เศรษฐกิจของประเทศดีขึ้น

สามารถรู้เกี่ยวกับผลอุตสาหกรรมการผลิตแม่พิมพ์
            เทคโนโลยีการผลิตและการพัฒนาด้านบุคลากรของอุตสาหกรรมการผลิตต่างๆของประเทศไทย นับว่าอุตสาหกรรมแม่พิมพ์เป็นอุตสาหกรรมแม่พิมพ์เป็นอุตสาหกรรมที่มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง ทั้งการผลิต ผลิตภัณฑ์โลหะ ผลิตภัณฑ์พลาสติก ผลิตภัณฑ์ยางและอื่นๆ ซึ่งแม่พิมพ์ที่นำมาใช้ในการจึงมีหลายประเภท เช่น แม่พิมพ์โลหะ แม่พิมพ์พลาสติก แม่พิมพ์ยาง แม่พิมพ์แก้ว และอื่นๆ แต่ที่นิยมใช้กันมาก คือ แม่พิมพ์โลหะ และแม่พิมพ์พลาสติก โดยนำไปใช้เกือบทุกอุตสาหกรรม เพราะแม่พิมพ์เป็นเครื่องมือที่ช่วยในการผลิตที่มีรูปร่างเหมือนๆกัน ครั้งละจำนวนมากๆ ส่งผลให้สินค้ามีคุณภาพและมาตรฐานเดียวกัน ทำให้ไทยมีโรงงานที่ทำแม่พิมพ์ทั้งหมด 2,000 โรงงาน โดยผลิตแม่พิมพ์โลหะและพลาสติก ถึงร้อยละ 90 และอีก้อยละ 10 ผลิตแม่พิมพ์แก้ว ยาง และเซรามิก โดย 1,500 โรงงาน เป็นโรงงานที่ผลิตแม่พิมพ์ใช้เอง และอีก 500 โรงงาน รับจ้างผลิตแม่พิมพ์ แต่มีโรงงานเพียง 3 % ที่สามารถผลิตแม่พิมพ์ที่ได้คุณภาพ และมีประสิทธิภาพ ความเที่ยงตรงสูง แสดงให้เห็นว่า อุตสาหกรรมแม่พิมพ์ในประเทศไทย ยังไม่สามารถผลิตงานที่มีคุณภาพ และความถูกต้องแม่นยำสูงได้
Image result for การ์ตูนเคลื่อนไหวน่ารักๆ ดุ๊กดิ๊ก                         จากสถิติมูลค่าการนำเข้าและส่งออกแม่พิมพ์ (ระหว่างปี พ.ศ. 2542 - 2547) พบว่าประเทศไทยขาดดุลการค้าในอุตสาหกรรมแม่พิมพ์มาโดยตลอด โดยในปี ปี 2544 มีการขาดดุลการค้ามากกว่า 20,000 ล้านบาท และมูลค่าการนำเข้าแม่พิมพ์ของไทยมีอัตราการขยายตัวเพิ่มขึ้นมาโดยตลอด ยกเว้น ปี 2545 ซึ่งมีอัตราการขยายตัวลดลงร้อยละ 7.69 เมื่อเทียบกับปี 2544 ส่วนมูลค่าการนำเข้าในปี 2547 คาดว่ามีแนวโน้มการนำเข้าเพิ่มขึ้น โดยในช่วงเดือนมกราคม มิถุนายน มีอัตราการขยายตัวของการนำเข้าเพิ่มขึ้น จากช่วงเดียวกันในปี 2546 ถึงร้อยละ 33.57 เหตุที่ประเทศไทยมีมูลค่าการนำเข้าแม่พิมพ์มาก เนื่องจากโรงงานที่เป็นกิจการร่วมทุนกับต่างประเทศ และกลุ่มตลาดส่วนใหญ่เป็นต่างประเทศ ให้มีการนำเข้าแม่พิมพ์ที่มีคุณภาพและความเที่ยงตรงสูง จากต่างประเทศเข้ามาใช้ในการผลิตสินค้าเป็นจำนวนมาก โดยนำเข้ามาจากประเทศญี่ปุ่น ไต้หวัน และเกาหลีใต้

                         ส่วนการส่งออกแม่พิมพ์ของไทยนั้น เป็นกลุ่มผู้ผลิตที่มีกิจการร่วมลงทุนกับต่างประเทศ และได้รับบัตรส่งเสริมการลงทุนจาก BOI (สำนักคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน) โดยผลิตแม่พิมพ์ที่มีความเที่ยงตรงสูง และส่งออกไปบริษัทแม่ ส่วนโรงงานขนาดกลางที่ผลิตแม่พิมพ์ที่มีคุณภาพก็ส่งออกโดยผ่านตัวแทนจำหน่าย มูลค่าการส่งออกตั้งแต่ปี 2542 – 2547 มีมูลค่าการส่งออกไม่เกิน 3,000 ล้านบาท ยกเว้นปี 2546 ส่วนในปี 2547 คาดว่าแนวโน้มการส่งออกแม่พิมพ์ของไทยจะมีมูลค่าสูงขึ้น โดยส่วนใหญ่ส่งออกไปยังประเทศญี่ปุ่น มาเลเซียและฮ่องกง



Image result for การ์ตูนเคลื่อนไหวน่ารักๆ ดุ๊กดิ๊ก

ขอขอบคุณ https://sueheera.weebly.com/

            สืบค้นเมื่อ : 10 มกราคม 2561

Image result for การ์ตูนเคลื่อนไหวน่ารักๆ ดุ๊กดิ๊ก

วันอังคารที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2560


การวางแผน


ความหมายของการวางแผน
หน่วยงานทุกระดับทั้งภาครัฐและเอกชนจำเป็นต้องมีปัจจัยที่มีความสำคัญที่จะทำให้การดำเนินงานของหน่วยงานประสบผลสำเร็จตามเป้าหมาย สามารถดำเนินงานได้สอดคล้องกับกระบวนการทำงาน รวมทั้งทราบรายละเอียดต่างๆ เกี่ยวกับกระบวนการ ระยะเวลาของการทำงานนั้นๆ หากเกิดข้อผิดพลาดจะสามารถทราบได้ทันทีว่าเกิดจากสาเหตุอะไรและสามารถทำการแก้ไขได้ทันท่วงทีที่เกิดการผิดพลาดในกระบวนการทำงาน ไม่ก่อให้เกิดการเสียเวลา รวมทั้งสามารถตรวจสอบการทำงาน และกำหนดแนวทางการทำงานในอนาคตได้เพื่อความสำเร็จของหน่วยงาน ปัจจัยดังกล่าว เรียกว่า การวางแผน (Planning) มาจากคำในภาษาละตินว่า “Planum”
จากความหมายของการวางแผน สรุปได้ว่า การวางแผน (Planning) หมายถึงกระบวนการในการกำหนดทิศทาง เป้าหมาย วัตถุประสงค์ที่ต้องการให้เกิดขึ้นในอนาคตขององค์การหรือหน่วยงานโดยเลือกวิธีทำงานที่ดีที่สุด มีประสิทธิภาพมากที่สุด ให้บรรลุผลตามที่ต้องการภายในเวลาที่กำหนด และการวางแผนนั้นจะพิจารณาในประเด็นที่สำคัญ 3 ประการ คือ 1.จุดหมายปลายทาง (คืออะไร) 2.วิธีการดำเนินงาน (ทำอย่างไร) และ 3.ระยะเวลา (เสร็จสิ้นเมื่อไหร่)

ความสำคัญของการวางแผน
การวางแผนเป็นงานหลักและสำคัญในการบริหารของหน่วยงานในทุกระดับ เนื่องจากเป็นตัวกำหนดทิศทาง เป้าหมาย วิธีดำเนินการ ที่จะทำให้หน่วยงานดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ บรรลุตามวัตถุประสงค์ที่ต้องการภายในเวลาที่กำหนด การดำเนินงานจะประสบผลสำเร็จมากหรือน้อยเพียงใดขึ้นอยู่กับการวางแผน หากวางแผนดีก็เท่ากับดำเนินงานสำเร็จไปแล้วกว่าครึ่ง ดังนั้น การวางแผนจึงมีความสำคัญต่อการดำเนินงาน ดังนี้
1. ช่วยลดการสูญเสียจากการทำงานซ้ำซ้อน
2. ทำให้มีการกำหนดขอบเขตในการทำงานที่แน่นอน และมีนโยบายที่ชัดเจน
3. ช่วยให้ผู้บริหารสามารถเตรียมรับสถานการณ์ที่ไม่แน่นอน และความยุ่งยากที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต ตลอดจนป้องกันการขัดแย้งที่อาจเกิดขึ้นในหน่วยงาน
4. การวางแผนเป็นเครื่องมือในการบริหารของผู้บริหาร เพื่อให้การดำเนินงานประสบ ผลสำเร็จ อย่างมีประสิทธิภาพ รวดเร็ว ประหยัดเวลา และทรัพยากร
5. การวางแผนจะช่วยให้เกิดการประสานสัมพันธ์ภายในองค์กร ทำให้การปฏิบัติเป็นไปด้วยความราบรื่น

ประเภทของการวางแผน
1. การจำแนกแผนตามระยะเวลา แบ่งออกเป็นระยะสั้น กับ แผนระยะยาว
2. การจำแนกแผนตามลักษณะการใช้ แบ่งเป็นแผนซึ่งใช้ประจำ กับแผนเฉพาะกิจ
3. การจำแนกตามลำดับขั้นขององค์การ แบ่งออกเป็น แผนแม่บท และแผนย่อย
4. การจำแนกแผนตามการบริหาร

การสำรวจลักษณะสำคัญของการวางแผนประกอบด้วย 4 ด้าน ดังนี้
1. ประโยชน์ของการวางแผนในการกำหนดจุดมุ่งหมาย
2. ลักษณะเด่นของการวางแผน

3. ความหลากหลายของการวางแผน
4. ประสิทธิภาพของแผน

คุณลัษณะและหน้าที่ของนักวางแผน
1. นักวางแผนควรมีประสบการณ์เกี่ยวกับการทำงานในองค์การนั้นๆ มากพอและควรที่จะเคยเป็นหัวหน้าแผนกต่างๆ มาแล้ว เพื่อให้สามารถประยุกต์ใช้ประสบการณ์ที่มีอยู่ในการพัฒนางานซึ่งจะปรากฎออกมาในลักษณะของแผนงาน
2. นักวางแผนจะต้องมีความสามารถในการอุดช่องว่างทางการบริหารจัดการต่างๆ ที่ยังมีปัญหาอยู่ได้โดยทักษะและประสบการณ์ที่ตนคลุกคลีอยู่กับองค์การและมีความรู้ความเข้าใจอย่างถ่องแท้ต่อสภาพปัญหาดังกล่าว
3. นักวางแผนควรมีความรู้ทางด้านอื่นๆ ที่จำเป็นด้วย ซึ้งได้แก่ ความรู้ทางด้านสังคม การเมือง เทคนิค ตลอดจนแนวโน้มทางเศรษฐกิจของสังคมที่เป็นอยู่ในขณะนั้นเพื่อสามารถกำหนดทิศทางขององค์การได้อย่างเหมาะสม
4. นักวางแผนต้องเป็นผู้มีมนุษยสัมพันธ์ที่ดีสามารถเข้ากับผู้อื่นในองค์การได้ เพื่อประโยชน์ในการประสานงานให้บรรลุตามแผนที่วางไว้

ประโยชน์การวางแผน
1. การวางแผนเป็นการกำหนดหรือกรอบการดำเนินงานขององค์การเพื่อให้การดำเนินงานบรรลุวัตถุประสงค์
2. การวางแผนมีส่วนในการลดข้อผิดพลาดในการดำเนินงานมากขึ้น
3. การวางแผนช่วยให้แต่ละแผนกรู้ขอบข่ายและหน้าที่ของตนเอง
4. การวางแผนช่วยลดปัญหาการทำงานที่ซ้ำซ้อนกัน
5. การวางแผนในการปฏิบัติงานสามารถทำให้การทำงานทำได้เร็วขึ้น

ชนิดของการวางแผน
            การวางแผนอาจมีความแตกต่างทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการดำเนินงานขององค์การ โดยแบ่งออก
ได้ดังนี้
            1. วัตถุประสงค์หรือเป้าหมาย (Objectiver or Goals) วัตถุประสงค์ หมายถึง เป้าหมายที่ต้องการให้กิจกรรมดำเนินการบรรลุผลมีลักษณะเฉพาะเจาะจง เป็นผลลัพธ์ที่สามารถวัดได้วัตถุประสงค์เป็นแนวทางที่จะนำไปสู่การปฏิบัติเพื่อให้บรรลุจุดมุ่งหมาย วัตถุประสงค์จึงเปรียบเสมือนเครื่องมือการประเมินประสิทธิผล และประสิทธิภาพขององค์การ
เป้าหมาย หมายถึงการกำหนดสิ่งที่ต้องการซึ่งองค์การจะต้องพยายามทำให้เกิดขึ้นทั้งวัตถุประสงค์และเป้าหมายเป็นคำที่อาจใช้แทนกันได้ เนื่องจากมีความหมายคล้ายคลึงกันเป็นจุดหมายปลายทางของการจัดองค์การ
            2. จุดมุ่งหมายหรือภารกิจ (Purposes or Missions) จุดมุ่งหมาย หมายถึง จุดประสงค์สิ่งที่จำเป็นและเป็นความต้องการเพื่อความอยู่รอดขององค์การ สำหรับภารกิจ หมายถึง หน้าที่หรืองานขององค์การที่ต้องกระทำ โดยทุกองค์การจะต้องมีจุดมุ่งหมายและภารกิจในทุก ๆ ระบบ เช่น จุดมุ่งหมายหรือภารกิจขององค์การคือ การผลิตและการจัดจำหน่ายสินค้าหรือบริการ เป็นต้น
            3. นโยบาย (Policies) หมายถึง ข้อความทั่วไปอ้นเป็นสิ่งที่เข้าใจและเป็นสิ่งที่ยอมรับทั่วทั้งองค์การ ซึ่งจะใช้เป็นแนวทางปฏิบัติสำหรับการตัดสินใจของผู้บริหารที่มีต่อผู้บังคับบัญชาหรือพนักงานขององค์การ
            4. กลยุทธ์ (Strategies) หมายถึง แผนการปฏิบัติงานขององค์การที่อธิบายถึงการจักสรรทรัพยากรและกิจกรรมอื่น ๆ ให้เหมาะสมกับสิ่งแวดล้อม เพื่อให้เกิดผลดีเป็นข้อได้เปรียบ สามารถบรรลุวัตถุประสงค์โดยให้มีความเสี่ยงน้อยที่สุด ณ ระดับที่ยอมรับได้
            5. กระบวนการปฏิบัติงาน (Procedures) เป็นแผนที่กำหนดวิธีการจัดการกิจกรรมการดำเนินงานภายในองค์การเป็นแนวทางปฏิบัติงานอย่างเป็นลำดับขั้น เพื่อให้การดำเนินงานเป็นไปอย่างถูกต้องและรวดเร็ว ให้บรรลุผลตามที่กำหนดไว้
        กระบวนการปฏิบัติงานจะบรรลุถึงวิธีการกระทำว่ากิจกรรมใด หรืองานใดจะต้องดำเนินการเป็นขั้นเป็นตอนอย่างไรจึงจะให้ผลสำเร็จตามที่ต้องการ การกำหนดกระบวนการปฏิบัติงาน เพื่อ
                        5.1 เพื่อให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์และนโยบายขององค์การ
                        5.2 เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาความซ้ำซ้อนและล่าช้าในการปฏิบัติงาน
                        5.3 พิจารณาความเหมาะสมกับองค์การ เพราะวิธีปฏิบัติขององค์การแต่ละแห่งอาจไม่เหมือนกัน ขึ้นอยู่กับสภาพการณ์และความแตกต่างกัน
                        5.4 พิจารณาทบทวนกระบวนการปฏิบัติงานที่ใช้อยู่เป็นระยะ ๆ เพื่อให้วิธีการปฏิบัติงานที่กำหนดขึ้นนั้นเป็นแนวทางที่ถูกต้อง และมีประสิทธิภาพ
            6. วิธีการทำงาน (Method) เป็นแผนที่จะบอกให้ทราบถึงแนวทางการทำงานอย่างละเอียด ทำให้การทำงานนั้นมีประสิทธิภาพ และถ้ามีการกำหนดวิธีกาทำงานไว้เป็นมาตรฐานแล้ว ก็จะเป็นเครื่องมือช่วยในการทำงานเดียวกันนั้นในครั้งต่อ ๆ ไป สามารถดำเนินการไปอย่างรวดเร็วตามมาตรฐานกำหนด
            7. กฎ (Rules) เป็นข้อความที่อธิบายถึงแผนหลัก ซึ่งระบุการทำอย่าใดอย่างหนึ่งในสถานการณ์เฉพาะ หรือเป็นแผนงานซึ่งจำเป็นต้องปฏิบัติตาม
        8. มาตรฐาน (Standaard) หมายถึง สิ่งที่ผู้ปฏิบัติงานพยายามกระทำให้ได้ตรงตามรูปแบบดังกล่าว ตามที่องค์การกำหนดมาตรฐานจะช่วยให้เห็นถึงการเปรียบเทียบผลการทำงานต่าง ๆ ว่างานที่ได้กระทำแล้วนั้นสูงกว่าง ต่ำกว่า หรือเท่ากับมาตรฐานที่กำหนด
        กล่าวได้ว่ามาตรฐานเป็นเกณฑ์ที่ใช้ประกอบการพิจารณา เพื่อหาว่ามีการปฏิบัติตามแผนที่วางไว้หรือไม่ โดยการเปรียบเทียบระหว่างผลที่ได้รับจากการปฏิบัติงานจริงกับผลการปฏิบัติงานที่คาดหวังไว้
กระบวนการวางแผน

            การวางแผนเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ ต้องอาศัยหลักเกณฑ์และความรู้ทางด้านทฤษฏีต่าง ๆ การกำหนดวิธีการต่าง ๆ จึงต้องอาศัยศิลปะในการดำเนินการและประสานงานของผู้บริหาร การวางแผนเป็นกระบวนการจึงต้องมีการดำเนินการอย่างเป็นลำดับขั้นตอนและแต่ละตอนนั้นจะมีความเกี่ยวเนื่องสัมพันธ์กัน 


ขอขอบคุณ : www.wordpress.com
         www.sites.google.com
            สืบค้นเมื่อ : 27 ธันวาคม 2560






วันอังคารที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2560

การพัฒนางาน


การพัฒนางาน คือ การเปลี่ยนแปลงหรือปรับปรุงวิธีการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการทำงาน เพื่อให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ วิเคราะห์ปัญหาและเสนอแนะการแก้ปัญหาต่อฝ่ายบริหาร ขอบข่ายที่ดำเนินการนี้ก็คือ กิจกรรมภายในองค์การ (Organizational Sphere) มโนทัศน์ว่าด้วยการพัฒนา คุณภาพงานมีพื้นเพเดิมมาจากประเทศญี่ปุ่น เพื่อการแก้ปัญหา คุณภาพของการผลิต และตั้งแต่นั้นมาก็ได้นำเอาแนวความคิดของการพัฒนาคุณภาพงานมาใช้กับลักษณะอื่น ๆ ของงานการบริหารทั่วโลก แต่โดยความจริงแล้ว การพัฒนาคุณภาพงานนี้เดิมมีชื่อเรียกว่า กลุ่มควบคุมคุณภาพงาน (Quality Control Circle) จุดหมายเบื้องต้นของการพัฒนาคุณภาพงาน ก็คือ ขอบข่ายของผลสัมฤทธิ์ของคุณภาพงาน อย่างไรก็ตาม การทำให้คุณภาพงานสัมฤทธิ์ผลนั้น มีหลายรูปแบบ กล่าวคือมีตั้งแต่พฤติกรรมของพนักงานจนถึงความร่วมมือในการทำงานร่วมกัน
 นอกจากนี้ผลสัมฤทธิ์ในคุณภาพงานอาจจะเกี่ยวข้องกับการใช้เทคโนโลยีหรือไม่ใช้ก็ได้ไม่ว่าจะเป็นกิจการธนาคารหรือการผลิตการพัฒนาคุณภาพงานได้ถูกนำมาใช้ทั้งภาคเอกชนและภาครัฐบาล

ปัจจัยในการพัฒนาทำงาน
-          ปรับปรุงวิธีการทำงานให้ดีขึ้น
-          ปรับปรุงวิธีการใช้เครื่องจักร เครื่องมือและอุปกรณ์ ตลอดจนสถานที่ ทำงาน

-          ปรับปรุงกระบวนการผลิต ให้เหมาะสมขึ้น
-          ปรับปรุงการออกแบบผลิตภัณฑ์ ที่มีคุณภาพง่ายต่อการผลิต และต้นทุนต่ำ
-          ปรับปรุงโดยการเลือกใช้วัสดุที่มีคุณสมบัติตามที่แปรรูปได้ง่ายและราคาไม่แพง

หลักการพัฒนางานสถานที่ทำงาน
-          การจัดเก็บและขนย้ายวัสดุสิ่งของอย่างมีประสิทธิภาพ
-          การใช้เครื่องจักรอย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย
-          การจัดรูปแบบของงานให้ผลออกมาเหมาะสม
-          การวิเคระห์ระบบงานและจัดสถานที่
-          การพัฒนาสภาพเงื่อนไขและสภาพแวดล้อม

การวิเคราะห์การจัดระบบงานและการจัดสถานที่
-          ระบบงานที่ต้องทำบ่อยๆควรจะออกแบบวัสดุและอุปกรณ์ให้อยู่ใกล้กับคนทำงานในระบบที่เหมาะสมที่สุดและใช้งานสะดวกที่สุดเพื่อที่จะทำงานได้เร็วและไม่เมื่อยล้า
-          ระบบงานที่ทำตามหน้าที่การใช้งาน ออกแบบให้อยู่ในตำแหน่งที่สามารถตอบสนองการใช้งานได้อย่างรวดเร็ว
-          ระบบงานที่ต้องทำตามลำดับขั้นตอน การออกแบบต้องคำนึงถึง การหยิบใช่งานได้อย่างต่อเนื่องตามลำดับขั้นตอนการทำงานก่อนหลัง

ขอบเขตของสภาพเงื่อนไขและสภาพแวดล้อมในการทำงาน
สภาพสิ่งแวดล้อมที่ไม่ปลอดภัยและไม่เหมาะสมในการทำงาน ดังนี้
1. สิ่งแวดล้อมทางกายภาพ ที่เกิดจากการสัมผัสโดยตรงของคนเช่นแสงสว่างความสั่นสะเทือนเสียงและอากาศอุณหภูมิ
2. สิ่งแวดล้อมทางชีวภาพ ที่เกิดจากการได้รับเชื้อที่มาจากสิ่งมีชีวิต เช่น สัตว์ พืช หรืออาการติดเชื้อจากไวรัส แบคทีเรียเชื้อรา รวมทั้งความชื้นหรือความแออัดคับแคบจากสถานที่ทำงาน
3. สิ่งแวดล้อมทางเคมี เกิดจากการทำปฎิริยาทางเคมีของสสารต่างๆ เช่น แก๊ส เขม่า ควันไฟ ฝุ่นโลหะ สารเคมีอื่นๆ
4. สิ่งแวดล้อมการจัดสภาพงาน ที่มีความสัมพันธ์กับการทำงานของคนงาน เช่น สภาพการทำงานที่ซ้ำซากจำเจ ความเบื่อหน่ายต่อการทำงานความกังวลและปัญหาต่างๆในหน่วยงานเป็นต้น
 
องค์ประกอบสภาพเงื่อนไขและสภาพแวดล้อมการทำงาน
1. สุขภาพและความปลอดภัยภายในองค์กร
2. ทำงานติดต่อหะนเป็นเวลานานจะทำให้เกิดสูญเสียความสนใจ เหนื่อยหน่าย เมื่อยล้า
3. สภาพอุณภูมิและภูมิอากาศ
4. กลิ่น ฝุ่น และสารพิษต่างๆ
5. แสงสว่างมากหรือมืดจนเกินไป
6. เสียงและความสั่นสะเทือน
7. อัคคีภัยและอันตรายที่อาจเกิดขึ้นจากไฟฟ้า

การพัฒนาสภาพแวดล้อมในการทำงาน
1. จัดตั้งองค์กรเพื่อสุขภาพและเพิ่มความปลอดภัยต่อคนภายในองค์กร
2. การจัดเวลาการทำงานให้เหมาะสม
3. ตั้งสถานที่ทำงานให้ปลอดภัยและปกป้องสภาพภูมิอากาศ
4. การกำจักหรือแยกแหล่งกำเนิดสารมลพิษต่างๆ
5. การปรับปรุงพื้นอาคารให้มีความสุมดุลและเหมาะสม
6. วางผังสถานที่ทำงานให้มีความยืดหยุ่นและดัดแปลงได้ง่าย

ประโยชน์ของการพัฒนางาน
1. เพื่อช่วยให้พนักงานและองค์การบรรลุถึงวัตถุประสงค์ได้ร่วมกัน เพื่อที่จะให้มีการจัดและกำหนดแผนการเติบโตของพนักงานแต่ละคน  ที่จะมีโอกาสสำเร็จผลในการทำงานตามเป้าหมายต่าง ๆ ขององค์กรได้สำเร็จ
2. เพื่อที่จะเป็นเครื่องมือป้องกันมิให้มีการ เช่น เมื่อหัวหน้าองค์กรได้สร้างทีมงานของตัวเองขึ้นมาแล้ว เมื่อสร้างสำเร็จเมื่อใดก็มักจะไม่ยอมที่จะให้คนของตัวออกไปอยู่กับจุดอื่น ทั้งนี้ก็เพราะว่า การมีคนเก่าที่เป็นงานอยู่กับตนนั้น ย่อมเป็นการสะดวกกว่า  แต่กลับเป็นปัญหาที่เป็นอุปสรรค ทำให้คนที่ถูกดึงเอาไว้นั้น พลาดโอกาสที่จะได้รับการเลื่อนชั้นหรือพัฒนาประสบการณ์ใหม่ๆในจุดอื่นต่อไป
3. ช่วยลดความล้าสมัยของพนักงานแต่ละคน เมื่อพนักงานทำงานไปนานๆ ในจุดใดจุดหนึ่ง  โดยไม่มีการโยกย้ายนั้น มักจะทำให้คนนั้นล้าสมัยกลายเป็นคนแคบ ขาดทัศนคติที่กว้างหรือขาดประสบการณ์ในหน้าที่งานอื่นๆ และหลายๆด้าน สาเหตุส่วนใหญ่อาจจะเกิดขึ้นจากการขาดการฝึกอบรมก็เป็นได้
4. ช่วยลดอัตราการลาออกและต้นทุนด้านบุคคล จากการศึกษาของผู้ชำนาญการด้านการบริหารงานบุคคล ได้พบว่าถ้าหากองค์การได้ตระหนักถึงความสำคัญในเรื่องนี้และได้ช่วยพนักงานของตัวในการวางแผ่นเกี่ยวกับอาชีพแล้ว  ผลประโยชน์ที่พลอยได้ที่สำคัญก็คือ  ได้มีส่วนในการช่วยลดการลาออกของพนักงาน
หลักการ 4 สร้าง
            หัวหน้างานและผู้บริหาร ต้องเข้าใจกันให้ชัดเจนก่อนนะครับว่า อะไรคือ หน้าที่ความรับผิดชอบ (Responsibility) ของหัวหน้างาน ที่มีต่อองค์กรที่ตนเองทำงานรับเงินเดือนค่าตอบแทนอยู่บ้าง ซึ่งมีหน้าที่สำคัญอยู่ 4 หมวด ใหญ่ๆ คือ 1) สร้างคน 2) สร้างทีม 3) สร้างงาน และ 4) สร้างคุณค่าต่อสังคม
1) สร้างคน
            หัวหน้างานต้องเข้าใจข้อเท็จจริงที่สำคัญประการหนึ่งว่า ไม่มีใครเก่งมาแต่เกิดแม้แต่ตัวเราเอง ทุกคนจะผ่านกระบวนการหล่อหลอมที่เหมือนกัน และ แตกต่างกันมาในหลายมิติ พนักงานใหม่ที่จบเกียรตินิยมอันดับ 1 เข้ามาทำงานในหน่วยงานของเรา ก็ไม่ได้หมายความว่า น้องใหม่คนนี้จะเก่งไปเสียทุกเรื่อง น้องใหม่มีพื้นฐานดีในความรู้ทางวิชาการที่เรียนมา แต่ ประสบการณ์ชีวิตและการทำงาน ต้องอาศัยพี่ๆ หัวหน้างานในการบอกสอนเขา การสอนงานจึงเป็นหน้าที่สำคัญอันดับแรกของ หัวหน้างาน คำถามก็คือ จะสอนงานอย่างไร ให้ลูกน้องของเราเข้าใจ เป็นหัวหน้างานต้องอย่าเบื่อที่จะสอนงาน ลูกน้องบางคนหัวไวเรียนรู้เร็วเราอาจชอบใจ แต่บางคนอาจจะต้องใช้เวลาในการอธิบาย ซ้ำแล้วซ้ำอีก ก็อย่าไปหงุดหงิดใส่เขา อย่าไปว่าเขา อย่าไปบั่นทอนกำลังใจเขา ให้สอนด้วยความเมตตา คิดดีว่า สอนบ่อยๆ เราก็จะชำนาญขึ้น เราก็จะได้มีโอกาสพัฒนาเทคนิคการสอนแบบใหม่ขึ้นมาอีก ลูกน้องมีความรู้ความเข้าใจในขอบเขต หน้าที่ วิธีการทำงานที่ถูกต้องของตนเองแล้ว หน้าที่ของหัวหน้างานในการสร้างคน ประการต่อมาก็คือ การประเมินผลงาน ในฐานะหัวหน้างาน เรามักจะคุ้นเคยกับ การประเมินผลงานเพื่อพิจารณาความดีความชอบ ใครทำงานถูกใจเราก็ให้คะแนนประเมินเยอะๆ เพื่อจะได้ขึ้นเงินเดือนหรือได้โบนัสประจำปีเยอะๆ ให้รางวัลเพื่อเอาไว้เป็นพวกเราว่าฉันนี้มีบุญคุณกับเธอนะ แต่คนไหนทำงานไม่ถูกใจ เราก็กดคะแนน ฉันเกลียดมัน ไม่ชอบหน้ามัน เอาคะแนนไปน้อยๆ แกล้งมัน แบบนี้ต้องบอกว่าเป็นหัวหน้าที่ใช้ไม่ได้

2) สร้างทีม
            หน้าที่ของหัวหน้างานที่เป็นหลักใหญ่ประการที่สองก็คือ การสร้างทีม ทำทุกวิถีทางที่จะทำให้สมาชิกในทีม ทำงานร่วมกันได้อย่างมีความสุข ไม่ขัดแย้ง ไม่ทะเลาะเบาะแว้ง ไม่แก่งแย่งชิงดี ชิงเด่น หรือ เกี่ยงกันทำงาน แล้วถ้ามีลูกน้องแค่คนเดียวล่ะ ก็ต้องสร้างความเป็นทีมระหว่างหัวหน้างานกับลูกน้องนั่นล่ะครับ
            สร้างทีมเริ่มต้นด้วย การจูงใจ จูงใจให้สมาชิกในทีมทำงานร่วมกัน เริ่มต้นจาก การจูงใจให้สมาชิกทุกคนได้มีส่วนร่วมในการแสดงความเห็น ไม่ต้องกลัวว่า จะเป็นความเห็นที่ไม่เข้าท่า เสียเวลา แต่ทุกความเห็นต้องถูกฝึกให้เรียนรู้ว่า ต้องไม่เป็นความเห็นที่เลื่อนลอย พูดแบบขอไปที หรือ เป็นความเห็นที่ไปทำร้ายจิตใจของเพื่อนร่วมทีม

ต้องจูงใจให้สมาชิกในทีมเห็นความสำคัญของการทำงานเป็นทีม ผลงานที่ได้ออกมาเป็นผลงานของทีม ที่ร่วมกันคิด ร่วมกันทำ ร่วมกันแก้ไขปัญหา ไม่มีมนุษย์จอมพลังเพียงคนเดียว แต่เป็นพลังของทุกคนในทีม รางวัลที่องค์กรมอบให้สำหรับความสำเร็จ ก็ควรจะให้เป็นทีม ไม่ควรให้รางวัลเป็นรายบุคคล

3) สร้างงาน
            หัวหน้างานจะถูกคาดหวังจากผู้บริหาร และเจ้าของกิจการว่า ต้องเป็นผู้ที่สามารถนำพาทีมงานในการสร้างผลงานให้กับบริษัทได้ ไม่ว่าจะเป็นผลผลิตที่มีคุณภาพสูงในขอบเขตงานที่รับผิดชอบ รวมไปถึงรายได้จากการจำหน่ายสินค้าหรือบริการ ในแต่ละปี องค์กรธุรกิจที่ดีจะต้องมีการกำหนดเป้าหมายของธุรกิจ ว่าต้องมีปริมาณสินค้า หรือ บริการที่จะออกจำหน่ายสู่ตลาดเป็นจำนวน และ มูลค่าเท่าใด เพื่อให้เพียงพอต่อค่าใช้จ่ายของกิจการ และมีกำไรสะสมเป็นเงินสดสำรองไว้ใช้ในสถานการณ์ฉุกเฉิน
งานจะบรรลุเป้าหมายได้ หัวหน้างานจำเป็นต้องวางแผนงาน ซึ่งจะถูกกำหนดขอบเขตไว้ด้วย เป้าหมาย กรอบของระยะเวลา และ ทรัพยากรที่มีอยู่ ไม่ว่าจะเป็นบุคลากร เครื่องมือ และงบประมาณ บางองค์กรอาจมีทรัพยากรอยู่ในปริมาณจำกัด ก็ยิ่งเป็นเรื่องที่ท้าทายความสามารถของหัวหน้างานมากขึ้นไปอีก

4) สร้างคุณค่าต่อสังคม
            เป้าหมายของธุรกิจ คือ การทำกำไรเพื่อตอบแทนต่อผู้ถือหุ้น และสะสมกำไรไว้เพื่อใช้ในการขยายกิจการ และสำรองไว้ใช้ในยามฉุกเฉิน แต่ถ้าหากธุรกิจมุ่งเน้นแต่กำไรเพียงอย่างเดียว โดยไม่สนใจสังคม ชุมชน สิ่งแวดล้อม มุ่งทำธุรกิจโดยเอาเปรียบสังคม สุดท้ายธุรกิจนั้นก็จะเป็นที่รังเกียจของสังคม และไม่สามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้
            บทบาทสำคัญของธุรกิจนอกเหนือจากบทบาททางด้านเศรษฐกิจ ที่ต้องทำกำไร สร้างความเติบโตของธุรกิจเพื่อช่วยพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศแล้ว อีกบทบาทสำคัญที่ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันคือ บทบาทในการทำหน้าที่เป็นพลเมืองที่ดี ช่วยดูแล และแก้ไขปัญหาสังคม สิ่งแวดล้อม








ขอขอบคุณ : www.lms.rmutsb.ac.th
https://phongzahrun.wordpress.com/2015/08/16 /แนวคิดการพัฒนาหัวหน้าง/
สืบค้นเมื่อ : 20 ธันวาคม 2560



การจัดการงานอาชีพ

ความหมายของอาชีพ                         อาชีพ  คือการทำมาหากินของมนุษย์  เป็นการแบ่งหน้าที่การทำงานของคนในสังคม  และทำให้ดำรงอาชีพในสังค...